สวัสดีครับ ^^
หลังจากเราทราบไปแล้วว่าคลื่นความร้อนคืออะไรในตอนที่แล้ว
ในตอนนี้เราจะมาดูสาเหตุกันว่าเจ้าคลื่นความร้อนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อธิบายแบบง่ายๆ คลื่นความร้อนจริงๆ เกิดได้จากสองสาเหตุหลัก คือ แบบสะสมความร้อน และแบบพัดพาความร้อน
1)
แบบสะสมความร้อน เกิดในพื้นที่ที่สะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง
ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่
เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันจะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น
หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41C แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่อง
3-6 วัน
ไอร้อนจะสะสมกลายเป็นคลื่นความร้อน โดยคลื่นความร้อนแบบนี้จะเกิดได้ในบริเวณที่อยู่ในเขตร้อน
หรือเคลื่อนผ่านใกล้จุดที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวโลก และต้องห่างจากทะเล+มีพื้นที่กว้างพอสมควรด้วย
ประเทศที่มีโอกาสเกิดคลื่นความร้อนแบบสะสมความร้อน
มีหลายแห่ง อาทิ อินเดีย แอฟริกา ออสเตรเลีย
อเมริกาเหนือ และ แคลิฟอร์เนีย (เส้นศูนย์สูตร)
2) แบบพัดพาความร้อน เกิดจากลมแรงหอบเอาความร้อนจากทะเลทรายหรือเส้นศูนย์สูตรใน
ปริมาณมากๆ พัดขึ้นไปในเขตหนาว โดยทรงตัวอุณหภูมิไว้ค่อนข้างดี
ทำให้บริเวณที่ถูกลมร้อน พัดผ่าน อุณหภูมิสูงขึ้นทันที
และจะสูงอยู่อย่างนั้นจนกว่าลมร้อนจะพัดผ่านไป หรือ สลายตัวไป คลื่นความร้อนชนิดนี้สามารถเกิดได้หลายแห่ง
เช่น ยุโรป แคนนาดาตอนใต้ แคลิฟอร์เนีย
ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยเรียกว่าแทบจะไม่มีโอกาสเกิดคลื่นความร้อนได้เลย
เนื่องจากไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่มีมวลอากาศร้อนจัด
(อยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น) ประกอบกับไม่มีทะเลทราย นอกจากนี้ สภาพอากาศของไทยมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาทุก
7-10 วัน
ทำให้เกิดฝนตก ช่วยลดอุณหภูมิไม่ให้ไต่ระดับสูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อย่างไรก็ตามในปี
2553 ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น
อันเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ทำให้ในฤดูร้อนปีดังกล่าวประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ย
42-43 องศา และเกือบเสี่ยงต่อปรากฏการณ์คลื่นความร้อนเป็นอย่างมาก
ในตอนหน้าผมจะมาพูดถึงคลื่นความร้อนว่ามีผลกระทบต่ออะไรบ้าง และเราจะมีวิธีรับมือกับ ปรากฎการณ์นี้อย่างไร ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น