วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

มารู้จักกับ Heat Wave กันเถอะ .... ตอนที่ 3 (ตอนจบ)

เราก็มาถึงตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ Heat Wave แล้วนะครับ ในตอนนี้ผมจะขอมาพูดเรื่องผลกระทบของคลื่นความร้อนที่มีต่อตัวคนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการรับมือและป้องกันว่าควรจะต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง
อย่างที่เราทราบว่าคลื่นความร้อนเป็นปรากฎการณ์อากาศร้อนมากกว่าที่เคย (คิดเทียบที่ค่าเฉลี่ยสูงสุด 30 ปี ย้อนหลังอย่างที่ผมอธิบายแล้วในตอนที่ 1) โดยผลกระทบของการเกิดคลื่นความร้อนสามารถแบ่งได้กว้างๆ คือต่อมนุษย์และต่อสิ่งแวดล้อม คือ
1) ผลกระทบต่อมนุษย์ เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยทั้งความร้อนที่สูงกว่าปกติและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูงทำให้เหงื่อไม่ระเหย และพาความร้อนออกจากร่างกายได้ ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว ส่งผลให้ระบบเมตาบอลิซีมในร่างกายล้มเหลวถึงเสียชีวิตได้ (ที่มา: สำนักงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเกิดคลื่นความร้อนในยุโรป ปี 2546 ชาวฝรั่งเศสเสียชีวิตกว่า 14,800 ราย มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้านตามลำพัง และระหว่างปี 2522-2546 มีผู้เสียชีวิตรวมจากคลื่นความร้อนในประเทศอเมริกากว่า 8,015 ราย ซึ่งมากกว่าผู้เสียชีวิตจากพายุเฮอริเคน ทอร์นาโด น้ำท่วมและแผ่นดินไหวรวมกันเสียอีก

โรคลมแดดหรือฮีทสโตก ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่อาจเกิดได้เมื่อเกิดคลื่นความร้อนโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้เป็นโรคอ้วน ผู้ดื่มสุรา ซึ่งสาเหตุหลักๆ ในประเทศไทย โรคดังกล่าวจะเกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40C  และส่วนใหญ่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น มีอาการหงุดหงิดสับสน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะเดินเซ ความดันต่ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มีอาการชักเกร็ง หน้ามืด หมดสติ เป็นต้น ประกอบกับอาการจากการทำหน้าที่ปกติของหลายอวัยวะร่วมด้วย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ (ที่มา: นพ.ณัฐพล เชิดหิรัญกร โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี)


การวัดคลื่นความร้อนที่ถูกต้องจะต้องใช้ดัชนีความร้อน (Heat Index) เป็นหลัก โดยหลักการก็คือ ดัชนีการวัดค่าความร้อนที่แท้จริงที่เรารู้สึกสืบเนื่องมาจากผลของความชื้นในสภาวะอุณหภูมิสูง ร่างกายคนเราจะรู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์ ยกตัวอย่างเช่น ระดับอุณหภูมิในอากาศ 37C ค่าความชื้นสัมพัทธ์ 40% ในตารางดัชนีค่าความร้อน (ที่มา: Sunflower Cosmos) เท่ากับ 41C หรือค่า 41C เป็นระดับความรู้สึกจริงที่ร่างกายได้รับความร้อน ในทางกลับกัน ให้ระดับอุณหภูมิในอากาศ 37C เท่าเดิม แต่มีค่าความชื้นสัมพัทธ์ 70% ในตารางดัชนีค่าความร้อนสูงถึง 57C




จากค่าดัชนีความร้อนต่างๆ เราสามารถนำมาจัดลำดับความอันตราย เปรียบเทียบกับค่าความร้อน และความเป็นไปได้ในการเกิดอาการได้ตามตารางข้างล่าง
ลำดับชั้น
ค่าความร้อน
(Heat Index)
ความเป็นไปได้ในการเกิดอาการขั้นสูง เมื่อถูกผลกระทบจากความร้อน
อันตรายร้ายแรง
(Extreme Danger)
54C หรือมากกว่า
ลมแดด
อันตราย
(Danger)
41-54C
ลมแดด และ/หรือ เพลียแดด/ ตะคริวแดด/ เหนื่อยล้า
แจ้งเตือนอันตราย
(Extreme Caution)
32-41C
ลมแดด และ/หรือ เพลียแดด/ ตะคริวแดด/ เหนื่อยล้า
แจ้งเตือน
(Caution)
27-32C
เหนื่อยล้า
การป้องกันการเกิดโรคจากคลื่นความร้อนทำได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่การใส่ใจถึงสภาพแวดล้อมอุณหภูมิความชื้นรอบตัว ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ปรับสภาพร่างกายให้สามารถทำกิจกรรมในสภาพอากาศที่ร้อนได้อย่างเหมาะสม ดูแลร่างกายไม่ให้ขาดน้ำโดยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย สวมใส่เสื้อผ้าไม่คับจนเกินไป เหมาะสมกับสภาพอากาศและระบายเหงื่อได้ดี หากร้อนจัดแล้วเหงื่อไม่ออกให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อระบายและลดความร้อนจากร่างกาย ส่วนเด็กและผู้สูงอายุควรมีการดูแลเป็นพิเศษ โดยจัดห้องให้มีอากาศถ่ายเทและระบายความร้อนได้ดี และไม่ควรปล่อยให้อยู่ตามลำพัง
2.  ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากคลื่นความร้อนเป็นการสะสมของความร้อนเป็นระยะเวลานาน ในหลายๆ พื้นที่โดยเฉพาะในพื้นที่ๆ อยู่ในเขตแห้งแล้ง หรือใกล้เส้นศูนย์สูตร ก็จะมีโอกาสเกิดภัยธรรมชาติหลายอย่าง อาทิ ในปี 2546 ประเทศโปรตุเกส พื้นที่ป่าถูกไฟป่าเผาผลาญไปมากกว่า 3,010 ตร.กม. และพื้นที่ทำการเกษตรเสียหายมากถึง 440 ตร.กม. ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 1 พันล้านยูโร อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือไฟป่าในรัฐวิคตอเรียและทางตอนใต้ของออสเตรเลียในปี 2552 พบว่ามีไฟไหม้กว่าพันจุดเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง 
นอกจากนี้ การที่คลื่นความร้อนสะสมมากๆ ทำให้อัตราการใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศและเครื่องใข้ไฟฟ้าอื่นมีปริมาณมากขึ้นและก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้องในหลายๆ ที่ เช่น ในปี 2549 ประเทศอเมริกาโดยเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย และลอส แองเจลิส บ้านเป็นพันๆ หลังคาเรือนต้องอยู่ในสภาพไม่มีไฟฟ้าใช้นานถึงห้าวัน  หรือในปี 2552 ที่ออสเตรเลีย ประชาชนกว่าครึ่งล้านคนต้องอยู่ในสภาพปราศจากไฟฟ้าใช้เป็นเวลานาน
สุดท้ายนี้ เราจะเห็นได้ว่าคลื่นความร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย และมีโอกาสเกิดขึ้นได้เหมือนกันในอนาคต ถ้าปัจจัยทั้งอุณหภูมิและความชื้นสันพัทธ์มีค่าที่เกินกว่าค่าอุณหภูมิสูงสุดที่กำหนดไว้ ในประเทศไทย เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของเราเป็นช่วงที่เราจะต้องระมัดระวังและจับตาเป็นพิเศษ การดูแลเอาใจใส่ตัวเราเองและกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่เราจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษในช่วงระยะเสี่ยง จบสามตอนแล้วของซีรี่ย์นี้ หวังว่าเพื่อนๆ คงได้รับความรู้และประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ มีอะไรก็ทิ้งข้อเสนอแนะให้ผมได้นะครับ ยินดีน้อมรับเสมอ ^^ 





มารู้กจักกับ Heat Wave กันเถอะ.... ตอนที่ 2

สวัสดีครับ ^^

หลังจากเราทราบไปแล้วว่าคลื่นความร้อนคืออะไรในตอนที่แล้ว ในตอนนี้เราจะมาดูสาเหตุกันว่าเจ้าคลื่นความร้อนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อธิบายแบบง่ายๆ คลื่นความร้อนจริงๆ เกิดได้จากสองสาเหตุหลัก คือ แบบสะสมความร้อน และแบบพัดพาความร้อน

1)  แบบสะสมความร้อน เกิดในพื้นที่ที่สะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันจะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41C แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่อง 3-6 วัน ไอร้อนจะสะสมกลายเป็นคลื่นความร้อน โดยคลื่นความร้อนแบบนี้จะเกิดได้ในบริเวณที่อยู่ในเขตร้อน หรือเคลื่อนผ่านใกล้จุดที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวโลก และต้องห่างจากทะเล+มีพื้นที่กว้างพอสมควรด้วย  ประเทศที่มีโอกาสเกิดคลื่นความร้อนแบบสะสมความร้อน มีหลายแห่ง อาทิ  อินเดีย แอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ และ แคลิฟอร์เนีย (เส้นศูนย์สูตร)


2) แบบพัดพาความร้อน เกิดจากลมแรงหอบเอาความร้อนจากทะเลทรายหรือเส้นศูนย์สูตรใน ปริมาณมากๆ พัดขึ้นไปในเขตหนาว โดยทรงตัวอุณหภูมิไว้ค่อนข้างดี ทำให้บริเวณที่ถูกลมร้อน พัดผ่าน อุณหภูมิสูงขึ้นทันที และจะสูงอยู่อย่างนั้นจนกว่าลมร้อนจะพัดผ่านไป หรือ สลายตัวไป คลื่นความร้อนชนิดนี้สามารถเกิดได้หลายแห่ง เช่น ยุโรป แคนนาดาตอนใต้ แคลิฟอร์เนีย 


              ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยเรียกว่าแทบจะไม่มีโอกาสเกิดคลื่นความร้อนได้เลย เนื่องจากไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่มีมวลอากาศร้อนจัด (อยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น) ประกอบกับไม่มีทะเลทราย นอกจากนี้ สภาพอากาศของไทยมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาทุก 7-10 วัน ทำให้เกิดฝนตก ช่วยลดอุณหภูมิไม่ให้ไต่ระดับสูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อย่างไรก็ตามในปี 2553 ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น อันเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ทำให้ในฤดูร้อนปีดังกล่าวประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 42-43 องศา และเกือบเสี่ยงต่อปรากฏการณ์คลื่นความร้อนเป็นอย่างมาก


           ในตอนหน้าผมจะมาพูดถึงคลื่นความร้อนว่ามีผลกระทบต่ออะไรบ้าง และเราจะมีวิธีรับมือกับ              ปรากฎการณ์นี้อย่างไร ^^

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

มารู้จัก Heat Wave กันเถอะ...(ตอนที่ 1)

คงมีเพื่อนๆ หลายคนที่เป็นแฟนเทนนิสรู้เรื่องที่การแข่งขันเทนนิสรายการแกรนด์สแลม "ออสเตรเลี่ยนโอเพ่น" ต้องยกเลิกและหยุดการแข่งขันชั่วคราวไปหลายคู่ เนื่องจากนักกีฬาไม่สามารถทนสภาพอากาศร้อนจัดไหว โดยจากรายงานข่าวของ BBC พบว่าสนามแข่งขันที่เมลเบิร์นมีอุณหภูมิสูงสุดรายวันในระดับสูงกว่า 40C ติดต่อกันเป็นวันที่สาม โดยทางออสเตรเลียได้แจ้งว่าเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฎการณ์คลื่นความร้อน (Heat Wave)   




นอกจากเมลเบิร์น เมืองอื่นๆ ทั่วออสเตรเลียก็ประสปปัญหาจากคลื่นความร้อนเช่นกัน อาทิ เมืองแอดิเลท เมืองหลวงของออสเตรเลียตอนใต้ที่มีค่าอุณหภิมสูงสุดรายวันที่ 45.1C ส่งผลให้บ้านมากกว่า 14,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งสาเหตุคาดว่าเกิดจากพายุและฟ้าผ่า ในแทสมาเนีย  ที่มีรายงานแจ้งว่าถนนลาดยางละลายอันเกิดจากความร้อน หรือจากภาพล่างเป็นไฟป่าที่ทำลายบ้านเรือนประชาชนมากกว่า 50 หลังคาเรือนในออสเตรเลียตะวันตก



คำถามที่เกิดขึ้นกับหลายๆคน ก็คือ คลื่นความร้อน หรือ  Heat Wave คืออะไร? อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อน? และเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรในเมื่อพบกับปรากฎการณ์นี้? ในวันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องแรกก่อน ส่วนเรื่องถัดไปจะค่อยๆ ทยอยเขียนออกมาครับ

อะไรคือ คลื่นความร้อน หรือ  Heat Wave? 

คลื่นความร้อน  คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่สภาวะอากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ มักเกิดในฤดูร้อน ใกล้เคียงกับวันที่มีอุณหภูมิอากาศสูงสุดในรอบปี ซึ่งอาจมีความชื้นสูงร่วมด้วย มักเกิดในบริเวณที่มีการพัดผ่านของลมร้อนจากบริเวณทะเลทราย เช่น ทวีปอเมริกาเหนือ เกาะอังกฤษ และทวีปยุโรปบริเวณเขตเมดิเตอรเรเนียน การเกิดคลื่นความร้อนจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ โดยอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึง 30 องศาเซียลเซียส หรือมากกว่า ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมต่อสภาพร่างกายของผู้คุ้นเคยต่อสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น การเกิดคลื่นความร้อนนี้อาจจะกินระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือคงอยู่นานหลายอาทิตย์
คลื่นความร้อนนอกจากเป็นภัยธรรมชาติที่คร่าชีวิตประชากรเป็นจำนวนมาก ยังส่งผลต่อการเพาะปลูกพืชของชาวยุโรป เช่น ธัญพืช และไวน์ ก่อให้เกิดไฟป่า และน้ำท่วมอย่างฉับพลันเนื่องจากการละลายตัวของธารน้ำแข็ง (พ.ศ. 2546 ประเทศสวิสเซอร์แลนด์) อีกทั้งยังก่อให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้นจนอาจนำไปสู่การขาดแคลนพลังงานได้

องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้ให้คำนิยามของคลื่นความร้อน (Heat Wave) ว่าเป็นการที่อุณหภูมิสูงสุดรายวัน 5 วันติดต่อกัน มีค่าเกินค่าเฉลี่ยอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 30 ปี 5C  ในแต่ละประเทศก็มีการกำหนดอุณหภูมิสูงสุดรายวันเฉลี่ย 30 ปี และจำนวนวันที่มีค่าอุณหภูมิสูงสุดรายวันติดต่อกันไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และลักเซมเบิร์ก คิดที่ช่วงเวลา 5 วันติดต่อกันที่มีอุณหภูมิสูงสุดรายวันเกิน 25C ในขณะที่ประเทศเดนมาร์ก คิดที่ช่วงเวลา 3 วันติดต่อกันที่มีอุณหภูมิสูงสุดรายวันเกิน 50% ของพื้นที่เกิน 28C ส่วนด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา คิดที่ช่วงเวลา 3 วันติดต่อกันที่มีอุณหภูมิสูงสุดรายวันเกิน  32.2C และแคลิฟอร์เนีย  คิดที่ช่วงเวลา 3 วันติดต่อกันที่มีอุณหภูมิสูงสุดรายวันเกิน  37.8C 


 จากข้อมูลของศูนย์ภูมิอากาศแห่งชาติ กรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า คลื่นความร้อนเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่มีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะความชื้นจากทะเลมักจะพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยในขณะที่อากาศร้อน จากสภาพอากาศที่ร้อนและมีความชื้นสูงจะทำให้เหงื่อไม่สามารถระเหยและพาความร้อนออกจากร่างการทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว ส่งผลให้ระบบเมตาบอลิซึมร่างการล้มเหลวถึงเสียชีวิตได้

เอาละครับ เราก็ได้รู้แล้วว่าคลื่นความร้อนคืออะไร คราวหน้าผมจะได้พูดถึงสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนและก็จะมาดูว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเหตุการณ์ปกติหรือเกิดจาก Climate Change อย่างที่หลายๆ คนเขาว่ากันครับ สวัสดีครับ